Know your kid – ISSUE 2
“ความจริงที่ต้องยอมรับ”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสสัมผัสกับเด็กหลากหลายประเภทจากหลากหลายพื้นเพครอบครัวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สิ่งหนึ่งที่ผมมักพบเจอเมื่อได้พูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่ก็คือ ความคาดหวังหรือความต้องการที่เราอยากให้ลูกเราเป็นอะไร หรือเป็นอย่างไร เราต้องการให้ลูกเรามีวิถีการดำเนินชีวิตยังใง เราวางแผนให้ลูกเราทุกอย่างตั้งแต่เขายังเป็นเด็กแบเบาะ จนกระทั่งเลือกโรงเรียนให้ลูก บังคับให้ลูกเรียนเสริมนั่นเสริมนี่ เลือกสาขาวิชาเรียนให้ลูก นั่นก็เพราะเราต้องการกำหนดทิศทางการดำเนินชีวิตของลูกเรา นอกเหนือจากนั้นในยุคปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง เรายังต้องแข่งขันกับคนรอบข้างอีกด้วย ลูกเราต้องเป็นที่หนึ่งนะ ลูกเราต้องมีอะไรที่โดดเด่นออกมา คุณพ่อคุณแม่ครับ เคยสักครั้งมั้ยที่คุณจะหันมาถามลูกของคุณว่าสิ่งที่คุณจัดวางให้เขานั้น เขาพอใจและมีความสุขมั้ย เราต้องการให้ลูกเราสอบเข้าโรงเรียนดัง ๆ ได้ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ผมตระหนักว่าแท้จริงแล้วพ่อแม่ใส่ใจในผลลัพธ์ (output) ว่าลูกฉันจะต้องเก่งโน่นเก่งนี่ มากกว่า สิ่งที่คุณตั้งใจที่จะมอบให้ (input) จริง ๆ คุณพ่อคุณแม่ทราบไหมครับว่าความปรารถนาดีของคุณนั่นเองอาจทำให้เขากดดันและเครียดได้
หันมาดูในมุมของเด็กบ้าง โดยเฉพาะเด็กในยุคปัจจุบันนี้ที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงขึ้นหากเทียบกับแต่ก่อน ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับเด็กหลายคนซึ่งแม้ว่าจะมีผลการเรียนที่ดี แต่ก็ยังมีปัญหา เช่น เด็กบางรายต้องเข้าพบครูแนะแนวประจำเพราะการที่คุณพ่อคุณแม่บังคับให้เด็กเรียนในอย่างที่เขาไม่ชอบ หรือในอย่างที่เขารู้ตัวว่าทำไม่ได้ ในหลายรายถึงขั้นเครียดเลยก็มี เด็กเรียนดีบางคนมีเพื่อนน้อยเพราะไม่ชอบเข้าสังคม เก็บตัวอยู่คนเดียว มีความทะเยอทะยานสูง พอวิชาใดไม่ได้ A ก็เครียดจัด และอยู่ในภาวะกดดัน เด็กเรียนดีบางคนมีพฤติกรรมที่เห็นแก่ตัว ชอบเอาชนะอยู่เสมอ
ความจริงที่ต้องยอมรับก็คือว่าเด็กหลาย ๆ คนไม่ได้เป็นไปดังที่คุณพ่อคุณแม่คาดหวังไว้ นั่นก็คืออาจเรียนไม่เก่ง หรืออาจถึงขั้นไม่เอาถ่าน หรือลูกของเราอาจมีความสามารถไม่เหมือนคนอื่น คุณพ่อคุณแม่เคยสังเกตมั้ยว่าลูกเราอาจไม่ได้เก่งเลขแต่อาจจะถนัดด้านภาษา ลูกของเราอาจไม่ชอบทั้งเลขทั้งภาษาแต่อาจมีความสามารถด้านศิลปะ จำเป็นหรือที่เขาต้องเก่งรอบด้านเหมือนที่คุณตั้งเป้าหมายไว้ จำเป็นหรือที่ลูกคุณต้องนับเลขเก่งทั้ง ๆ ที่ยังไม่เข้าโรงเรียนด้วยซ้ำ เชื่อหรือไม่ครับว่ากว่า 80% ที่ผมพบเจอมักจะบอกว่าอยากให้ลูกเป็นโน่นเป็นนี่ เช่น อยากให้เป็นหมอบ้างล่ะ เป็นวิศวะบ้างล่ะ หรือทำธุรกิจเพราะที่บ้านมีธุรกิจเป็นของตนเอง น้อยครั้งจริง ๆ ครับที่ผมจะเจอคำตอบว่า ต้องดูความสามารถของเขาก่อน ถ้าเขาถนัดและชอบทางไหนก็ให้ไปทางนั้น หากโตขึ้นลูกถนัดทางด้านคอมพิวเตอร์หรือวาดเขียน ก็จะสนับสนุนเขาทางด้านนั้น ส่วนใหญ่เราจะตั้งเป้าหมายไว้เลยว่าอยากให้ลูกเราเป็นอะไร เพราะเรามองว่าหน้าที่การงานนั้น ๆ คือความสำเร็จของชีวิต ไม่ใช่ผมไม่เห็นด้วยกับการคาดหวังในลูก แต่หากเรากำลังคาดหวังในสิ่งที่เขาเอื้อมไม่ถึง มันจะเป็นแรงกดดันสำหรับเขามากกว่า คิดดูให้ดีว่าเรากำลังเอาความสุขของเราเองอยู่เหนือความสุขของลูกหรือเปล่า ความสุขที่เห็นเขาเป็นในแบบฉบับที่เราอยากให้เขาเป็น
ผมเข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนก็ย่อมอยากให้ลูกได้ดี เรียนโรงเรียนดี ๆ เรียนให้เก่ง ผมอยากให้คุณพ่อคุณแม่หยุดคิดสักนิดแล้วนึกว่าสิ่งที่เราควรต้องการจากลูกที่แท้จริงคือความสุขและรอยยิ้ม ไม่ใช่ความเก่งเพื่อเอาชนะ หรือความเก่งเพียงเพื่อคนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเราจะได้เอาชื่อลูกไปคุยอวดคนอื่น ๆ ได้ ยอมรับความจริงที่ลูกเราเป็น แล้วสร้างให้ลูกเราประสบความสำเร็จจากสิ่งที่เขาต้องการจะเป็น และจากความสามารถที่เขาทำได้ เพราะหน้าที่ของเราคือเลี้ยงดูให้เขาเติบโตอยู่บนโลกใบนี้ให้ได้อย่างมีความสุขทั้งร่างกายและจิตใจเท่านั้นครับ และความสุขที่เขาได้รับจะเป็นพลังสร้างความสำเร็จของเขาเอง