Know your kid – ISSUE 10
“สัญญาต้องเป็นสัญญา”
คืนวันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังจะเอาเด็ก ๆ เข้านอน ลูกสาวคนโตของผมก็ได้หยิบหนังสือนิทานมาแล้วรบเร้าให้ผมอ่านให้เขาฟัง มันเป็นนิทานธรรมดา ๆ เรื่องหนึ่ง หากแปลเป็นภาษาไทยก็คงเป็นเรื่อง เจ้าชายกบ เนื้อเรื่องนั้นพูดถึงการที่พ่อของเจ้าหญิงบอกเธอถึงคำสัญญาที่เจ้าหญิงได้ให้ไว้กับกบ และเมื่อเธอรักษาสัญญา กบก็กลายเป็นเจ้าชายในท้ายที่สุด นิทานก่อนนอนธรรมดา ๆ เรื่องหนึ่งจบไป ผมตั้งใจจะเอาลูกผมนอนทันที แต่ลูกสาวของผมดูเหมือนจะติดใจกับเนื้อเรื่องเสียมากมาย ถามผมนั่นนี่ไปเรื่อย จนมาถึงคำถามที่ว่า แล้วถ้าเจ้าหญิงไม่รักษาสัญญาจะเกิดอะไรขึ้น คำถามนี้เองที่สะกิดใจผมเหลือเกินจนต้องกลายเป็นคติสอนใจประจำเรื่อง ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ ให้ลูก ๆ ฟังว่า ถ้าหากสัญญาว่าจะเก็บของเล่นให้เป็นที่เมื่อเล่นเสร็จ ก็ต้องทำตามที่สัญญาไว้ และถ้าหากสัญญาว่าจะทำการบ้านก่อนทำอย่างอื่นเมื่อกลับมาจากโรงเรียน ก็ต้องทำตามนั้น และอะไรอีกหลายอย่างจนเข้านอนกันค่อนข้างดึกเลยทีเดียว ผมมานั่งย้อนนึกถึงตัวเองว่า แล้วผมล่ะ ผมสอนให้ลูก ๆ ยึดมั่นกับคำสัญญา แล้วผมเองได้ทำเป็นตัวอย่างให้พวกเขาดูหรือไม่ เวลาผมสัญญาจะพาลูก ๆ ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ ผมทำตามที่สัญญาหรือเปล่า หรือแค่พูดส่งเดชไปแบบนั้นเอง แล้วกับคนรอบข้างล่ะ ผมรักษาสัญญากับคนอื่น ๆ ด้วยไหม
ผมยังจำได้ดีในหลาย ๆ ครั้งที่ผมสัญญากับลูก ๆ ว่าจะเอาพวกเขาเข้านอนบ้างล่ะ จะพาไปเที่ยวทะเลช่วงวันหยุดบ้างล่ะ แต่ก็มีหลายครั้งอีกเช่นเดียวกันที่ผมจำได้ว่าผมไม่สามารถรักษาสัญญาได้ บางครั้งผมต้องออกไปพบลูกค้ากว่าจะกลับก็ค่ำมากแล้ว หรือติดธุระที่เลี่ยงไม่ได้ช่วงวันหยุด การไปเที่ยวก็ต้องเลื่อนออกไปเพราะผม ลูก ๆ ของผมไม่ค่อยโวยวายครับ นั่นแหละครับที่เป็นปัญหา เพราะพวกเขาจะมากอด พะเน้าพะนอว่าแล้วเมื่อไรจะว่าง คืนพรุ่งนี้เอาเขานอนได้ไหม หรืออาทิตย์นี้ว่างไหม ผมมองเข้าไปในตาของพวกเขา มันไม่มีคำดุด่าว่ากล่าว ผมรู้สึกถึงเพียงคำวิงวอน และรอคอยจากเด็กกลุ่มหนึ่ง นั่นก็คือลูกผมเอง ที่จะขอช่วงเวลาที่ผมเคยสัญญากับพวกเขาไว้ พวกเขายังจำได้ พวกเขายังเฝ้าคอย
ผมเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หลายท่านคงต้องเคยเจอประสบการณ์แบบนี้บ้าง หลายครั้งที่เราบอกลูกหรือสัญญากับลูกว่าจะทำอย่างนั้นอย่างโน้น แต่พอเอาเข้าจริงหรือเมื่อถึงเวลา เรากลับนิ่งเฉย งงงวยไม่รู้ว่าลูกพูดเรื่องอะไร หรือแกล้งทำเป็นลืม หรือบอกปัดไปคราวหน้า และอีกหลายต่อหลายเหตุผลที่เราหยิบยกมาอ้างกับลูก เพราะในเวลาที่ผู้ใหญ่อย่างเราสัญญากับเด็ก ในหลาย ๆ ครั้งเราทำไปเพียงเพราะว่าเราอยากปัดความรำคาญ ขี้เกียจให้ลูกมานั่งเซ้าซี้ หรือรำคาญเขานั่นเอง แล้วมันดีไหมล่ะครับ ผมอยากให้นึกถึงจิตใจของเด็กว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเวลาที่เขามาทวงสัญญา แล้วเราให้เขาไม่ได้ ผู้ใหญ่อย่างเราเองเวลาที่ใครมารับปากเรา แล้วเขาไม่สามารถทำได้ เราเองก็รู้สึกโมโห ผิดหวัง หรืออาจจะขาดความไว้เนื้อเชื่อใจ และถ้าหากเกิดขึ้นกับคนที่เรารัก และเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราอาจจะยิ่งผิดหวังและเสียใจมากขึ้นไปอีก เช่นเดียวกันครับ หากคุณสัญญากับเขาไว้ คุณอย่าคิดว่าเขาจะจำไม่ได้นะ พยายามเถอะครับรักษาสัญญาที่ให้ไว้ให้ดี และถ้าหากคุณคิดว่าคุณไม่สามารถที่จะให้เขาได้ คุณก็ไม่ควรสัญญา
การยึดมั่นในคำสัญญาถือเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนโดยเฉพาะคนเป็นพ่อเป็นแม่พึงกระทำ เพราะนอกจากจะแสดงออกถึงจริยธรรมที่ดีงามอย่างหนึ่งแล้ว ยังถือเป็นการสร้างความมั่นใจให้เด็ก ๆ ทำให้เขาเกิดความคาดหวังในสิ่งที่จะเกิดขึ้น เราในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะการที่เราเป็นพ่อเป็นแม่ ควรเป็นกระจกเงาส่องตัวอย่างที่ดีให้ลูก ๆ ได้เห็น เพราะถ้าหากเราเป็นคนที่ยึดมั่นในคำสัญญาแล้ว ลูกของเราก็คงซึมซับตัวอย่างที่ดีนี้ และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มั่นคงในสัญญาในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน