Know your kid – ISSUE 1
“Know Your Kid”
แม้ว่าผมจะเป็นนักเขียนมือใหม่ แต่ที่ผมลุกมาจับปากกาเขียนคอลัมน์นี้เพราะผมเชื่อว่าจากประสบการณ์และมุมมองทั้งการเป็นพ่อและการเป็นผู้บริหารโรงเรียนกว่า 10 ปีของผมนั้นได้พบเจอกับเด็กหลากหลายประเภท ครูอาจารย์จากหลากหลายเชื้อชาติ หรือแม้แต่ท่านผู้ปกครองที่ดูเหมือนจะมีการปกครองดูแลลูกหลานในลักษณะที่น่าตื่นเต้นแตกต่างกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองผมตั้งใจจะถ่ายทอดมุมมองความคิด หรือความเข้าใจในอีกแง่มุมที่ต่างออกไป รวมถึงสาระความรู้ในหลากหลายเรื่องราวที่ผมได้พบเจอหรือสัมผัสมาด้วยตนเอง ซึ่งผมคาดว่าจะมีประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อย
เราลองมาเริ่มต้นอย่างง่าย ๆ ด้วยคำว่า Know Your Kid ผมขอถามกลับไปยังคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านว่า จริง ๆ แล้วเรารู้จักลูกเรามากน้อยแค่ไหน เราใช้เวลาอยู่กับลูกของเรากี่ชั่วโมง เราให้เวลากับลูกเรามากกว่าที่เราให้กับทีวีหรือแชทบล๊อกหรือเปล่า ถามผมเองผมยังตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าผมรู้จักลูกผมดีกว่าคุณครูที่โรงเรียนหรือพี่เลี้ยงที่บ้านหรือเปล่า ผมลองมานั่งคิดเล่น ๆ ว่าวัน ๆ นึง (ไม่รวมวันหยุด) ผมใช้เวลาอยู่กับลูกวันละแค่ประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็เข้านอน เทียบกับเวลา 7-8 ชั่วโมงที่เขาอยู่ที่โรงเรียน มันผิดกันนะ ผมถึงไม่ค่อยสงสัยหรอกว่าเมื่อเด็กโตขึ้นมาหน่อย เขาถึงเริ่มที่จะติดเพื่อน ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ประเด็นเท่าไร แต่ผมอยากจะสะท้อนภาพให้คุณพ่อคุณแม่เห็นว่าโอกาสที่เราอยู่กับลูกนั้นมันก็น้อยอยู่แล้ว ทำไมเราไม่ตักตวงช่วงเวลานี้ให้ได้ประโยชน์ ให้มีคุณภาพ และใช้มันอย่างมีค่าที่สุด เพียงแค่คุณใส่ใจเขามากขึ้นอีกนิด ดูแลเขาเพิ่มขึ้นอีกหน่อย คุณก็สามารถทำวัน ๆ นึงที่แสนจะธรรมดาให้เป็นวันพิเศษทั้งของคุณและของเขาได้ ลองถามตัวเองว่าวันนี้คุณยิ้มให้ลูกคุณหรือยัง หรือทั้งวันคุณก็เพียงแต่ห้ามนู่นห้ามนี่เขา
ในทางกลับกันคุณพ่อคุณแม่บางท่านอาจจะเอาใจใส่มากไปหน่อยจนลืมนึกถึงหลักความจริง ยกตัวอย่างลูกชายผม 3 ขวบ อยู่ที่โรงเรียนเขาสามารถใส่รองเท้าเองได้เพราะคุณครูจะไม่ใส่ให้เด็ดขาด แต่เวลาเขาอยู่บ้านผมกลับรอคอยความชักช้าของลูกชายผมไม่ไหวจนต้องลุกขึ้นมาใส่ให้ทุกครั้ง จนกระทั่งภรรยาผมบอกผมว่าเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมลูกชายผมถึงใส่รองเท้าช้าที่สุดในห้อง ผมกลับมานั่งคิดว่าโอกาสเล็กน้อยที่เขาสามารถเรียนรู้และเสริมสร้างพัฒนาการนั้นต้องถูกทำลายด้วยความเผลอเรอของผมหรือเพราะผมมีความอดทนรอไม่เพียงพอเพียงเท่านั้นหรือ คุณพ่อคุณแม่ครับโอกาสอยู่ตรงหน้าเราเสมอ เพียงแต่เราจะไขว่คว้ามันมาหรือไม่ และหากเราได้มันมาแล้วก็ควรเอาใจใส่ดูแลอย่างเต็มที่ครับ
และนอกจากบทบาทความเป็นคุณพ่อลูกสามที่ดูเหมือนจะติดตัวผมไปตลอดชั่วชีวิตนั้นยังอีกยาวไกล แต่ผมก็ไม่เคยลืมว่ายังมีลูก ๆ อีกกว่า 700 ชีวิตที่ผมต้องดูแลและเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้พวกเขาเช่นกัน ผมบอกตัวเองเสมอว่าโรงเรียนก็คือบ้านหลังที่สองของลูก มันต้องเป็นสถานที่ที่น่าไว้เนื้อเชื่อใจและเป็นสถานที่ที่ต้องดูแลลูกเราได้เป็นอย่างดี แต่ก็อีกนั่นแหละครับที่ในโรงเรียน ผมก็มักจะพบเจอเหตุการณ์ที่น่าสนใจ ที่น่าเห็นใจ ที่น่าตกใจ ที่น่าแปลกใจ และต้องเอาใจเข้าไปช่วย เข้าไปแก้กันบ่อยครั้งครับ ปัญหามีให้พบเจอและให้ขบคิดทุกวัน หลาย ๆ เหตุการณ์ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่ก็มีอีกหลายเหตุการณ์เช่นกันที่ต้องกุมขมับเลยทีเดียว โดยเฉพาะหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผู้ปกครองและเด็กเอง โดยในบางครั้งผมมองแล้วว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวเด็กเลยและปัญหามันน่าจะจบได้ไม่ยาก ในหลาย ๆ ครั้งผมอยากจะยกมือไหว้บอกเห็นใจผมบ้าง ซึ่งถ้าหากเปิดอกเปิดใจคุยกันและรับฟังเหตุผลกันมากขึ้นก็คงจะดีทีเดียวครับ และประสบการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้เองที่ผมตั้งใจหยิบยกเอามาแบ่งปันให้ทุกท่านได้คิดอ่านในหัวข้อถัด ๆ ไป
จุดมุ่งหมายสำคัญของผมเพียงแค่หวังว่าประสบการณ์ที่ผมนำมาแบ่งปันจะสร้างรอยยิ้มและความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น หรืออาจเป็นบทเรียนให้คุณพ่อคุณแม่นำไปคิดหรือประยุกต์ใช้กับครอบครัวตัวเองเพื่อความสุขที่เพิ่มมากขึ้นในครอบครัวครับ