Know your kid – ISSUE 4
“ปล่อยให้เด็กเป็นเด็กเถอะ”
ในยุคสมัยใหม่ที่อะไร ๆ ก็ดูเหมือนเร่งรีบ ทั้งการตื่น การกิน การทำงาน การนอน ชีวิตประจำวันของเราทั้งหมดก็ล้วนแต่รีบเร่งทั้งนั้น ซึ่งก็รวมถึงความเร่งรีบต่อลูก ๆ ของเราด้วย ความเร่งรีบของเด็กที่ผมจะขอพูดถึงก็คือเรื่องของการยัดเยียดความเร่งรีบที่จะโตเข้าไปให้กับเด็กนั่นเอง หากเราดูเด็กสมัยนี้จริง ๆ แล้วเติบโตกันเร็วมาก ไม่เพียงแค่ร่างกาย แต่วันนี้ผมขอพูดถึงเรื่องของการเติบโตทางด้านอารมณ์ และสังคม
เด็ก 12 ขวบคนหนึ่งสามารถทำอาหารเช้าทานเองได้ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ แน่นอนทุกคนที่ฟังเรื่องนี้ต้องทึ่งและชื่นชมในความสามารถและความขยันของเด็กน้อยคนนี้ แต่จะมีใครที่รู้บ้างว่าตัวเขาเองที่เป็นคนบอกว่า “ผมหวังว่าพ่อหรือแม่จะทำให้ผมกินสักครั้ง” ผมเชื่อว่าเด็กหลาย ๆ คนโหยหาความเป็นเด็ก ความรัก การเลี้ยงดู เอาใจใส่ และเวลาจากพ่อแม่ เป็นปกติธรรมดาและธรรมชาติของเขา
ประเด็นหลักของผมอยู่ที่เรื่องทัศนคติหรืออาจเรียกว่าค่านิยมสมัยนี้ที่ดูเหมือนพ่อแม่ยุคใหม่มักตั้งเงื่อนไขและวางแผนกับลูกตั้งแต่อยู่ในท้องแล้วครับ เช่น จะส่งเรียนเปียโนตอน 3 ขวบ หรือเริ่มเรียนภาษาจีนตอนอายุเท่านั้นหรือเท่านี้ ถัดมาหน่อยก็มีเด็กเรียนไว อ่านไว เขียนไว หรือแม้แต่การประกวดความสวยงามที่ดูเหมือนจะไวเกินไปหน่อย เห็นการประกวดสมัยนี้แล้ว ต้องเชื่อจริง ๆ ครับว่าเด็กเหล่านี้มีความสามารถเก่งกาจมากมาย ในประเทศอเมริกา มีเด็ก 4 ขวบ คนหนึ่งเคยผ่านเวทีประกวดความงามมาแล้วไม่ต่ำกว่า 20 เวที และในฐานะพ่อแม่หรือผู้ปกครองก็คงปฏิเสธไม่ได้ครับว่าสื่อต่าง ๆ ทั้ง ทีวี นิตยสาร ได้เข้ามามีบทบาทและส่งเสริมในเรื่องความสามารถของเด็กกันอย่างคับคั่ง ดูแค่กลุ่มตัวอย่างเด็ก 4-9 ขวบ ก็มีเครื่องสำอางสำหรับเด็กกลุ่มนี้ออกมาวางจำหน่ายกันแล้ว ทั้งลิปสติก อายไลเนอร์ ที่ปัดแก้ม เด็กหลาย ๆ คนไม่ออกจากบ้านหากไม่ได้ทาเมคอัพพวกนี้ ในโฆษณาหลาย ๆ แห่งก็มีการวางพรีเซนเตอร์เป็นเด็กที่แต่งตัวทันสมัย ทำผมสไตล์เกาหลี ยืนโพสท่ากันอย่างชำนาญ แต่ความเข้าใจที่ถูกก็คือเด็กเหล่านี้ยังคงต้องการดินสอสี พู่กัน ตำราเรียน เช่นเดียวกับการแต่งตัวโก้เก๋ นั่นคือจุดยืนที่เหมาะสมและสวยงามที่แท้จริงของกลุ่มเด็กอายุเท่านี้ หลายท่านอาจตั้งข้อแย้งว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร เพราะถ้าหากเด็กจะโชว์ความฉลาดหรือความกล้าก็ควรจะส่งเสริม เรื่องนี้ผมไม่ปฏิเสธครับ จะติดก็อยู่ตรงที่ว่าผู้ใหญ่สมัยนี้มักชื่นชมยินดีกับความฉลาด (เกินวัย) ของเด็กมากจนเกินไป และลืมนึกถึงพัฒนาการทางอารมณ์และพัฒนาการทางสังคมของเขาครับ
ถามคุณพ่อคุณแม่จริง ๆ เถอะครับว่า คุณต้องการอะไรที่แท้จริงจากเด็ก 4 ขวบ คุณตั้งเป้าให้เขามีมารยาทบนโต๊ะอาหารเหมือนผู้ใหญ่ทุกคน หรือคุณเห็นว่าการที่เขานั่งไม่อยู่นิ่ง ต้องคอยป้อนอาหารตลอดเป็นเรื่องที่ลึก ๆ แล้วคุณก็คาดหวังไว้และรับมือกับมันได้ คุณตั้งใจให้เขามีพัฒนาการและความสามารถรอบด้าน แต่ก็ลืมถามความคิดเห็นของเขาก่อนสมัครเรียนพิเศษและไม่ได้นึกถึงการที่เขาไม่ได้เล่นกับเพื่อนต่อหลังเลิกเรียน จะคิดก็เพียงว่าลูกเราต้องมีความสามารถที่เหนือกว่าคนอื่นโดยเฉพาะในสังคมที่มีแต่การแข่งขันแบบนี้ ดูเหมือนว่าเด็กที่มีความสามารถโดดเด่นเท่านั้นจะชนะใจคนรอบข้าง แต่ผมอยากให้คุณพ่อคุณแม่ลองมองให้ลึกลงไปอีกนิดครับว่าความสามารถอย่างเดียวไม่ได้เป็นเครื่องวัดว่าลูกคุณจะประสบความสำเร็จในวัยเด็ก ผมอยากให้ดูไปถึงเรื่องอารมณ์และความรู้สึกของเขาด้วยครับ หากลูกคุณมีความสามารถเป็นเรื่องน่ายินดีครับแต่ขอให้ดูแลเรื่องอารมณ์และสังคมควบคู่ไปด้วย คุณพ่อคุณแม่ท่านใดที่คิดว่าลูกเราไม่เก่งเหมือนคนอื่น อย่าได้แคร์ครับ เพราะความสามารถหรือความฉลาด (เกินวัย) ไม่สามารถเอาไม้บรรทัดมาวัดได้ครับว่าลูกคุณนั้นแย่กว่าเด็กคนอื่น อย่ามองว่าคนรอบข้างจะคิดยังไง เพราะหากเรายึดติดแค่ว่าคนรอบข้างจะคิดอะไร ชีวิตเราก็จะไม่มีความสุข ยิ่งไปกว่านั้นเราจะเอาความกดดันไปอยู่ที่ลูกโดยไม่รู้ตัว เชื่อเถอะครับความฉลาด (เกินวัย) ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าใส่ใจมากเท่าการที่เราควรรู้จักบริหารพัฒนาการทางอารมณ์และพัฒนาการทางสังคมของเขาครับ
ถามใจตัวเองครับว่าจริงๆ แล้วคุณมีความสุขกับสิ่งใด มีความสุขที่เห็นเขาปีนป่ายต้นไม้บ้าง เลอะเทอะบ้าง มอมแมมบ้าง คุณอยากจะเห็นรอยยิ้มจากเด็ก 4 ขวบ หรือจากเด็ก 14 ขวบครับ อย่าเพิ่งรีบให้เขาโตเกินไปเลยครับ อย่าข้ามช่วงเวลาที่มีความหมายนี้ไปเลย แต่มีความสุขกับช่วงเวลาเด็กของเขา เฝ้าดูเขาเติบโตทั้งร่างกาย อารมณ์ และสังคมอย่างสมวัย เชื่อเถอะครับวันที่เขาเติบโตเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว คุณอาจจะมานั่งเสียดายและคิดถึงช่วงเวลาที่เขามาพะเน้าพะนอ ออดอ้อน หรือกอดรัดฟัดเหวี่ยงคุณโดยไม่แคร์สายตาใคร แล้ววันนั้นจะมาถึงในไม่ช้าครับ